Category: บทความ

บทความ

5 สาเหตุที่พ่อแม่มือใหม่ ต้องใช้ Carseat

December 6, 2019

 

อุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นเกิดขึ้นได้เสมอโดยไม่มีใครคาดคิด ฉะนั้นการให้ลูกน้อยนั่งคาร์ซีททุกครั้งที่เดินทางจะช่วยลดอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงได้

 

เข็มขัดนิรภัยบนรถ ออกแบบมาสำหรับปกป้องผู้ใหญ่ และจะใช้ได้กับเด็กที่สูงเกินกว่า 145 ซ.ม. ขึ้นไป เพราะได้ผ่านการคำนวณมาแล้วว่าพอดีกับการยึดบริเวณลำตัวโดยไม่ทำให้ร่างกายบาดเจ็บ ซึ่งไม่พอดีกับขนาดตัวของเด็กเล็กจึงไม่ได้ช่วยปกป้องตัวเด็กเลยหากเกิดอุบัติเหตุ การนั่งคาร์ซีทของเด็กเล็กที่มีสายคาดนิรภัยแบบ 5 จุด จะช่วยลดแรงกระแทกและป้องกันการกระชากจากแรงเหวี่ยงของรถ และการรองนั่งด้วย Booster seat สำหรับเด็กโตแล้วคาดด้วยเข็มขัดผู้ใหญ่ ก็จะช่วยให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องค่ะ

 

เด็กเล็กจะมีขนาดศีรษะที่ใหญ่กว่าลำตัว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และมวลกระดูกที่ยังเปราะบางไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ จึงต้องการการปกป้องจากแรงกระแทกตั้งแต่ศีรษะไปจนถึงปลายเท้า คาร์ซีทที่มีขนาดพอดีกับตัวเด็ก และมีตัวป้องกันการกระแทกจากด้านข้างจะลดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้

 

เด็กวัยเริ่มเล่นซุกซน มักจะไม่ชอบอยู่นิ่ง การที่ไม่มีคาร์ซีทและไม่รัดสายเข็มขัดที่จะช่วยให้ลูกน้อยอยู่กับที่ เด็ก ๆ สามารถปีนป่ายไปมาระหว่างเบาะ นอกจากจะรบกวนสมาธิคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังขับรถอยู่ด้านหน้า หากเกิดอุบัติเหตุกะทันหันเด็กอาจจะกระเด็นออกไปทางกระจกหน้าได้ในทันที

 

หลาย ๆ ครั้งที่ต้องเดินทางไปทำธุระสำคัญ เช่น พาลูกน้อยไปโรงพยาบาล แต่ไม่มีใครสะดวกไปด้วย การที่ให้ลูกนั่งคาร์ซีทจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สบายใจ และมั่นใจว่าปลอดภัย ฉะนั้นควรฝึกให้ลูกน้อยนั่งตั้งแต่แรกเกิด โดยเลือกคาร์ซีทที่คุ้มค่า ช่วยปกป้องลูกน้อยอย่างอ่อนโยนตลอดการเดินทางนะคะ

 

หากคุณกำลังมองหา คาร์ซีท สำหรับเด็กแรกเกิด – 7 ปี ที่ได้มาตรฐาน และคุ้มค่ากับการใช้งาน คาร์ซีท Ducle รุ่น Organic ของ Prince & Princess ตอบโจทย์มากที่สุดเลยค่ะ

สามารถดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/37MuX2E

หรือสอบถามกับแอดมิน ผ่านทาง Line@ และ Facebook Inbox ได้เลยนะคะ

 

หรือสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ได้ที่

 

บทความ

เก้าอี้ทานข้าว Fairy แตกต่างจากเก้าอี้ทานข้าวทั่วไปอย่างไร

เมื่อลูกน้อยอายุ 6 เดือน เป็นช่วงที่ร่างกายลูกต้องการสารอาหารอื่น ๆ เพิ่มเติม นอกจากการทานนมแม่เพียงอย่างเดียว เก้าอี้ทานข้าวจึงเป็นไอเท็มสำคัญที่จะช่วยให้การทานข้าวของลูกน้อยสะดวกสบาย และถูกลักษณะมากขึ้น การฝึกวินัยในการทานข้าวจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเริ่มทำตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้เขาเรียนรู้ที่จะรับประทานอาหารเป็นที่  ช่วยลดภาระการเดินตามป้อนข้าวของคุณพ่อคุณแม่ไปได้เยอะมากเลยค่ะ

การเลือกเก้าอี้ทานข้าว High Chair จึงต้องใส่ใจในรายละเอียดมาก ๆ ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของสีสัน และรูปลักษณ์ที่ส่วยงามเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกน้อยเป็นสำคัญ เพราะเด็กเล็กมักจะไม่นั่งอยู่กับที่ หากเลือกเก้าอี้ที่ไม่มีความแข็งแรง และไม่มีเข็มขัดนิรภัยที่แน่นหนาเพียงพอ ลูกอาจจะดิ้นและพลาดตกจากเก้าอี้ได้ ซึ่ง “เก้าอี้ทานข้าว High Chair รุ่น Fairy” ของ Prince & Princess ใส่ใจในเรื่องความปลอดภัย และความสะดวกสบายของคุณแม่เป็นสำคัญ ทำให้แตกต่างจากเก้าอี้ทานข้าวทั่วไป มีจุดเด่นอะไรบ้างนั้น มาดูกันค่ะ

 

โครงสร้างของเสา เป็นแบบทรง  A ขารูปทรงแบนขนาดกว้าง ช่วยให้รองรับน้ำหนักลูกน้อยได้มากกว่า สูงสุดถึง 25 กิโลกรัม มั่นคงและสมดุลกว่า ขาเสาแบบทรงกลมทั่ว ๆ ไป

 

มั่นใจทุกครั้งในการปรับระดับเก้าอี้ขึ้น-ลง ไม่ต้องกลัวเก้าอี้ร่วงหล่นขณะนั่ง ด้วยระบบล็อคแบบรางตะขอเกี่ยว มั่นคง ปลอดภัยกว่าเก้าอี้ขาแบบทรงกลมทั่วไปที่ไม่มีรางล็อค

 

นั่งสบายกว่า ด้วยพนักพิงหลังกว้าง มาพร้อมเบาะรองนั่งถึง 2 ชั้น ซึ่งเบาะรองพิเศษช่วยเพิ่มความนุ่มสบายให้กับลูกน้อย สามารถเปลี่ยนใช้ได้ทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งฝั่งนุ่มสบายผิว และฝั่งระบายความร้อน สามารถถอดซักทำความสะอาดได้ง่าย

 

แท่งกันตกระหว่างขา สามารถถอดออกเก็บได้พร้อมกับถาดวางอาหาร ไม่ได้ยึดติดกับตัวเก้าอี้ จึงช่วยเพิ่มพื้นที่บริเวณเบาะนั่งให้กว้างขึ้น นอนหรือนั่งเล่นท่าไหน ก็สบายไม่อึดอัดค่ะ

 

ล้อหน้าคู่ขนาดใหญ่ ช่วยให้เคลื่อนย้ายได้สะดวกกว่า มาพร้อมกับแผ่นกันลื่นที่ขาหลัง เพิ่มความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

 

ถาดวางอาหารขนาดใหญ่ 2 ชั้น ที่สามารถแกะถอดไปล้างทำความสะอาดได้ง่าย เพิ่มความสะดวกสบายให้กับคุณแม่ได้เยอะเลยค่ะ

 

หมดกังวลเรื่องลูกดิ้นพลัดตกจากเก้าอี้ทานข้าวไปได้เลย ด้วยเข็มขัดนิรภัยแบบ 5 จุด ปรับระดับความสั้น-ยาวของสายเข็มขัดได้ ช่วยให้คุณแม่เบาใจไปได้เยอะเลยค่ะ

 

มาลองสัมผัสเก้าอี้ทานข้าว Baby Hight Chair รุ่น Fairy ทั้ง 3 สี ได้ที่ Baby Gift ทั้ง 8 สาขา หรือสั่งซื้อออนไลน์กับแอดมินได้เลยนะคะ

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อผลิตภัณฑ์

  • Baby gift ทั้ง 8 สาขา และ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

หรือสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ได้ที่

บทความ

Family Blog คาร์ซีทสำคัญแค่ไหน แม่ตูนน์เล่าเรื่องก่อนเลือกซื้อ

October 24, 2018

ไหนนนน บ้านไหนชอบได้ยินว่า ไม่ต้องซื้อคาร์ซีทหรอก ไม่ต้องเตรียมหรอก ค่อยๆ ขับ ระวังๆ ก็ไม่เป็นไรแล้ว

บ้านนี้ขอยกมือ เป็นลำดับแรกๆ เลยค่ะ ซึ่งเอาจริงๆ เนี่ย ตอนแรกก่อนมีน้อง ตัวเองก็เฉยๆ นะ ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งวันที่มีน้องต๊าตต์ และเริ่มวางแผนการเตรียมซื้อของให้เค้า

วันแรกที่แม่เริ่มเกริ่นเรื่องว่าจะซื้อ Carseat

ด้วยความที่เราเป็นแม่สายอ่านหาข้อมูลวิเคราะห์ ถามแฟนเพจ พูดคุยกับแม่ๆ คนอื่นๆ ทำให้เรารู้ว่า carseat เนี่ยเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดในการเตรียมก่อนคลอดเลย เพราะหลังจากน้องออกจาก รพ. แล้วจะต้องมีพร้อม

หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ราคาสูง แลดูสิ้นเปลืองมากๆ ซึ่งตอนแรกเนี่ย ทางบ้านตูนน์ก็มีคิดแบบนั้นเหมือนกันนะ มักจะเริ่มจากคำที่ว่า “สมัยเราเด็กๆ ยังไม่ต้องใช้เลย” แต่เราพยายามอธิบายให้เค้าฟังถึงเหตุ และผล พร้อมกับยกตัวอย่างเหตุการณ์ต่างๆ ให้เค้าได้ฟัง … ต้องบอกเลยว่าเรื่องนี้ต้องค่อยๆ อธิบายกันให้เข้าใจค่า

สำหรับตูนน์แล้ว Carseat คล้ายๆ ซื้อประกัน เอาจริงๆ ไม่มีใครอยากต้องใช้ประกันหรอก แต่มันคือการซื้อความปลอดภัย และเมื่อเกิดเหตุขึ้น เราก็มั่นใจว่าลูกเราจะปลอดภัย

tuniez

ในเมืองนอก หลายๆ ที่ถือว่า Carseat นี่เป็น สิ่งที่ต้องมาเพื่อ รับเด็กออกจากรพ. เลย ถ้าไม่มีเนี่ย บางที่เค้าไม่ให้น้องออกเลย ซึ่งในประเทศไทยยังไม่สามารถมีกฏหมายบังคับ แต่ว่าหลายครั้งหลายหนที่เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ซึ่งเราไม่อยากให้มันเกิด ถึงแม้ว่าเราจะระมัดระวังแค่ไหน แต่เรื่องอุบัติเหตุ ก็ยากที่จะห้ามไม่เกิดขึ้นได้ อาจจะไม่ได้เกิดเพราะเรา แต่เกิดเพราะคนร่วมถนน

แล้ว Carseat เนี่ย ต้องเลือกยังไง?

สำหรับ Carseat ควรเลือกที่ได้รับมาตรฐาน และที่สำคัญคือ “ตอบโจทย์” ของเราให้มากที่สุด ทั้งเรื่องราคา วัสดุ และอายุการใช้งาน บางอันมีโหมดมาก วัสดุลายหรูหรา options เสริมเยอะ ก็อาจจะหลายหมื่นบาท บางอันเน้นการใช้งานง่าย ใช้ได้นาน แต่ราคาไม่แพงก็มี

อ่ะ ยกตัวอย่างของบ้านตูนน์ จะเลือกงบไว้ในใจก่อน คือซัก 9000 – 15000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่พอรับไหว เพราะเท่าที่ดูหลายๆ ยี่ห้อ เฉลี่ยๆ ก็จะอยู่ประมาณนี้ (ซึ่งแน่นอนแพงกว่านี้ก็มี ถูกกว่านี้ก็มี) จากนั้นก็จะเลือกเป็นช่วงอายุใช้งาน คือต้องใช้ได้เกิน 4 ขวบขึ้นไป

ทีนี้พอเราเริ่มศึกษาไป มันก็จะเจอว่า มันมีแบบ Belt กับ Isofix ซึ่งรถสมัยใหม่จะมี isofix เกือบทุกคันอยู่แล้ว แต่รถรุ่นเก่าหน่อยจะต้องติดตั้งแบบ belt เท่านั้น (มีรายละเอียดข้อดีข้อเสียของ 2 ระบบนี้ที่อ่านศึกษามา แต่เอาไว้มีคนถามค่อยบอกแล้วกัน)

ตูนน์เลือกแบบ Belt เพราะ พอดีที่บ้านมีรถหลายคัน ช่วงแรกต้องไปอยู่บ้านตายาย เลยคิดว่าติดตั้งแบบ Belt จะไม่ยุ่งยากมาก (แต่สำคัญมากๆ คือต้องติดตั้งให้ถูกวิธีนะคะ) คราวนี้ก็ได้สิ่งที่ต้องการคร่าวๆ แล้วก็เริ่มหา สรุปก็มาเจอแบรนด​์ Prince & Princess เป็น ซึ่งตอบโจทย์ทุกอย่างที่วางไว้ เพิ่มเติมตรงที่

  • ใช้ได้ถึง 7 ขวบ
  • เบาะนั่งแรกเกิดมี cushion แบบ ออร์แกนิค
  • มีหมอนสำหรับประคองคอเด็กแรกเกิด ออกแบบเหมือนแขนแม่โอบตัว

ก็เลยคุยกับคุณพ่อว่า เอาอันนี้ดีมั้ย ราคาไม่แพงด้วย ใช้ได้นาน พ่อก็เลยอนุมัติ แม่ตูนน์ก็เลยติดต่อร้าน http://www.babygiftretail.com/ 
เพื่อสั่งจองไป (จริงๆ จะไปเอาที่งานพวก BBB ช่วง7-8 เดือนแต่แบบ หนักพุงแม่ไปไม่ไหว เลยสั่งทางเว็ปเอา (ราคากับโปรโมชั่นก็ลองคุยกับร้านดู แต่ราคาเต็มคือ 15900 ลดเหลือ 12900 จ้า ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า ราคาไม่แพงมาก เทียบกับ Spec อายุการใช้งานที่รองรับ

ขอเพิ่มเติมจุดเด่นของแบรนด์  Prince & Princess ที่แม่เลือกนะคะเผื่อแม่ท่านอื่นจะนำไปเป็นข้อมูล

คาร์ซีท Prince&Princess รุ่น DUCLE Organic
ผ้าฝ้ายอินทรีย์ออแกนิค จากขั้นตอนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปลอดสารเคมี เนื้อผ้านุ่มสบายสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย Made in Korea  รองรับมาตรฐาน ECE

  1. เรื่องความปลอดภัย คือผ่านมาตรฐานความปลอดภัยทั้งตัวคาร์ซีท และโรงงานที่ผลิต เชื่อถือได้ ตอบโจทย์ทุกอย่างที่วางไว้เลย
  2. เรื่องของเบาะนั่งแรกเกิดมี cushion แบบ ออร์แกนิค คือดีงามสำหรับเด็กแรกเกิดที่ผิวเค้าจะแพ้หรือระคายเคืองง่าย อันนี้แม่ชอบมาก
  3. สามารถนั่งได้จนถึง 7 ขวบเลย โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบการติดตั้งได้ 3 แบบ ซึ่งตอบโจทย์แม่กับพ่อสุดๆ แถมช่วยประหยัดงบ

สั่งแล้วนัดวันจัดส่งสะดวก สามารถติดตั้งเองได้ไม่ยาก (ตามคู่มือ หรือ Youtube สาธิตการติดตั้ง)

รอคุณพ่อเอาไปติดตั้งที่รถ

เป็น organic

 

หนูสต๊าตต์ วันนี้กลับบ้านแล้ว นั่งคาร์ซีทหลับสบายเลยคับ

สนใจคาร์ซีท Ducle Organic แบบ น้องสต๊าตต์ : Ducle Organic

ติดตามอ่านฉบับเต็มได้ที่ : Tuniez Blog
เพจแม่และเด็ก : Start Baby Journey
คุณแม่ตูน คุณแม่บล็อกเกอร์ Beauty Blogger / Baby and Mom
บทความ

วิธีฝึกลูกให้นั่งคาร์ซีทได้ง่ายขึ้น

August 17, 2018

วิธีฝึกลูกให้นั่งคาร์ซีทได้ง่ายขึ้น

1. สร้างความเคยชินให้ลูกนั่งคาร์ซีทตั้งแต่เกิด

คิดว่าคุณแม่ต้องเคยได้ยินคำว่า “ ยิ่งฝึกลูกนั่งคาร์ซีทเร็วเท่าไหร่ ยิ่งดี ” ถ้าเริ่มใช้คาร์ซีทตั้งแต่วันแรกที่นำลูกออกจากโรงพยาบาล จะฝึกลูกนั่งคาร์ซีทได้ง่ายมากกว่า

ส่วนครอบครัวไหนที่เริ่มหัดนั้งคาร์ซีทหลังจากนั้น แนะนำว่าถ้าซื้อคาร์ซีทมาแล้วให้ลูกลองนอนเล่นที่บ้านดูก่อน ช่วยให้เขารู้สึกว่าเป็นที่นั่ง หรือที่นอนประจำตัวของเขา สร้างความคุ้นเคย และคุณแม่สามารถสังเกตได้ว่าลูกอึดอัด หรือสบายตัวแค่ไหน ก่อนพาลูกนั่งคาร์ซีทออกไปท่องเที่ยวนะคะ

2. คุณแม่คอยนั่งให้กำลังใจลูกข้างๆ

ข้อนี้ถือเป็นอีกเรื่องที่ในช่วงแรกๆอยากให้คุณแม่หรือคุณพ่อทำดูนะคะ เพราะถ้าลองสังเกตดีๆเด็กๆมักจะร้องไห้เพราะไม่เห็นคุณพ่อคุณแม่อยู่ใกล้ๆ การที่มีคุณแม่มาคอยให้กำลังใจ นั่งพูดคุยด้วย ทำให้ลูกได้ยินเสียง ได้สัมผัสมือที่อบอุ่นคุ้นเคยจากแม่ จะทำให้เขาหยุดร้องไห้ได้ง่ายขึ้น อุ่นใจ แล้วเรายังจะคอยกล่อมเขาให้หลับได้ด้วยนะ

3.พกของเล่นคู่ใจลูกติดรถไว้ช่วยได้

ถ้าลูกนั่งคาร์ซีทแล้วยังร้องไห้อยู่ ลองหยิบตุ๊กตาคู่ใจ หรือของเล่นมีเสียงมีไฟ มาช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของลูกดูค่ะ นอกจากจะช่วยให้เขาหันมาสนใจสิ่งของตรงหน้าแล้ว ยังเสริมสร้างพัฒนาการด้านการมองเห็น หรือด้านกล้ามเนื้อมือต่างๆที่เขาได้ลองหยิบจับหรือกดปุ่มต่างๆเล่นด้วยค่ะ

4. นมหรือขนมช่วยให้ลูกหยุดร้องได้

แน่นอนว่าการเดินทางที่ยาวนานลูกอาจจะต้องหิวกันบ้าง ซึ่งเด็กจะแสดงออกด้วยการร้องไห้ ก่อนจะทำวิธีอื่นๆลองเช็คดูว่าลูกหิว หรือว่าถึงเวลาให้นมแล้วหรือยัง ถ้าลูกหิวก็แวะพัก จอดรถให้ลูกดื่มนมให้อิ่มและสบายตัวก่อนนะค่ะ  หลังจากนั้นเขาก็จะได้เวลางีบหลับตามธรรมชาติของเด็กค่ะ

5.สร้างกิจกรรมด้วยการร้องเพลงหรือเล่านิทาน

หากิจกรรมที่สามารถทำร่วมกันกับลูกได้ เช่นร้องเพลง เล่านิทาน หรือเล่าอธิบายเรื่องการนั่งคาร์ซีทให้ลูกฟังด้วยก็ได้ค่ะ ลูกจะค่อยๆทำความเข้าใจ  และวิธีเหล่านี้จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดูสนุกสนาน ไม่น่าเบื่อ และช่วยเบี่ยงเบนความสนใจได้ดีเลยละค่ะ

และสิ่งที่จะต้องเจอในช่วงฝึกลูกนั่งคาร์ซีทก็คือ น้ำตาของเจ้าตัวน้อย ที่ร้องไห้จนคุณแม่หลายๆคนต้องอุ้มลูกออกจากคาร์ซีทมาปลอบกันก่อน เข้าใจเลยนะค่ะว่าการเป็นแม่ที่จะต้องเห็นลูกร้องไห้นั้นทรมานขนาดไหน แต่คุณแม่ต้องใจแข็งไว้นะค่ะ ถ้าลูกร้องให้เข้าไปพูดคุยและค่อยๆอธิบายกับลูก ถึงจะยังฟังไม่เข้าใจแต่ถ้าได้ฟังไปเรื่อยๆลูกจะเกิดการเรียนรู้ จะเริ่มเข้าใจว่าเมื่อขึ้นรถตรงนี้คือที่นั้งประจำของเขา แต่ถ้าลูกร้องไห้ ดิ้นไม่หยุด และมีท่าทีว่าจะแรงขึ้นให้เปลี่ยนเป็นการแวะพัก พาลูกออกมาอุ้ม เดินเล่นพูดคุยกับลูกให้รู้สึกผ่อนคลายก่อน แล้วให้ลูกกลับไปนั่งในคาร์ซีทใหม่ เพราะสิ่งที่ลูกต้องการที่สุดก็คือกำลังใจและไออุ่นจากคุณพ่อคุณแม่นี้แหละค่ะ

ช่วงแรกๆคงจะต้องเจอน้ำตาหนักหน่อยนะค่ะ แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ผ่านไปได้ ไม่เอาลูกออกจากคาร์ซีท รับรองว่าครั้งต่อๆไปลูกจะร้องน้อยลงและยอมนั่งคาร์ซีทได้ง่ายๆ คราวนี้แหละคุณพ่อคุณแม่ก็จะเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยค่ะ

Prince and Princess ของเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนผ่านพ้นการฝึกลูกนั่งคาร์ซีทไปได้ด้วยดีนะคะ

และคุณพ่อคุณแม่เองก็อย่าลืมเลือกคาร์ซีทที่นุ่มสบายตัวให้กับลูก อย่างคาร์ซีท รุ่น Ducle Organic ที่เน้นปกป้องจุดที่บอบบางของลูกตลอดทั้งช่วงตัว ผิวสัมผัสนุ่มสบาย ระบายอากาศได้ดี ใช้งานได้ยาวนานตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 7 ปี

บทความ

UV กับการนำมาใช้ฆ่าเชื้อโรค

June 11, 2018

คุณพ่อคุณแม่หลายๆคนยังมีความกังวลกับการจะใช้งานตู้อบแห้งฆ่าเชื้อโรคด้วย UV และยังสงสัยว่าแสง UV จะสามารถกำจัดเชื้อโรคได้จริงหรือเปล่า? แล้วจะฆ่าเชื้อโรคได้ยังไง? เพราะหลายคนๆยังรู้จักเพียงวิธีฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อนเท่านั้น แต่จริงๆแล้ววิธีฆ่าเชื้อโรคในของใช้ต่างๆของลูกยังมีอีกหลายวิธี (7วิธีกำจัดเชื้อโรคในขวดนมลูก) และแสง UV ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่กำจัดเชื้อโรคได้ดีที่สุด ปลอดภัย สะดวกสบายและ ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ

มาทำความรู้จักกับ UV   

UV (Ultraviolet) แสงยูวี หรือที่เรารู้จักว่า แสง UV นั้นมาจากแสงของดวงอาทิตย์ เป็นช่วงแสงที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จุดเด่นคือ มีคุณสมบัติพิเศษ ที่มีความยาวคลื่นยาวกว่ารังสี X-Rays ทำให้มีพลังงานสูง สามารถส่องทะลุผ่านผิววัตถุได้ง่ายกว่าแสงที่เราเห็นทั่วๆไป

แสงยูวี สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ UVA ,UVB และ UVC

แสงยูวีประเภท UVA : มีความยาวคลื่นมาก (320-400 nm) จะรู้จักกันในนาม “Black Light” ถูกใช้ในการทำ Skin Tanning และการรักษาโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง

แสงยูวีประเภท UVB : มีความยาวคลื่นระดับกลาง (280-320 nm) สามารถส่งผลอันตรายต่อผิวหนังและตาได้ โดยมากจะดูดซับไว้โดยชั้นโอโซนของโลก แต่ก็ยังมีเล็ดลอดส่องมาถึงเราบ้างจึงมีการผลิตครีมกันแดดที่สามารถกันรังสี UVA และ UVB ได้

แสง ยูวีประเภท UVC : มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด (200-280 nm) แต่มีพลังงานสูงสุด มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อมากที่สุด รังสี UVC ถูกนำไปใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการฆ่าเชื้อโรคในอากาศ พื้นผิวและน้ำ แต่แสงยูวีประเภทนี้มีอันตรายต่อผิวหนังและตามากที่สุดจึงไม่ควรได้รับแสงโดยตรง

โดยมากจะมีเพียงแสงยูวีประเภท UVA เท่านั้นที่สามรถส่องผ่านมาถึงผิวโลกได้ ส่วน UVB และ UVC จะถูกโอโซนในชั้นบรรยากาศดูดซับปริมาณส่วนมากไว้ก่อนแล้ว

แล้วนำแสง UV มาใช้ฆ่าเชื้อโรคได้อย่างไร?

UV แสงยูวีที่นำมาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคนั้น เกิดมาจากการสังเคราะห์ UVC ขึ้นเอง นั้นก็คือระบบ “UVGI” (Ultraviolet Germicidal Irradiation) หรือ ระบบการใช้แสงยูวีที่มีความเข้มข้นสูงพิเศษ (Germicidal Range) เพื่อฆ่าและทำลายเชื้อโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Virus Bacteria Fungi และ Yeast & Mold ที่อยู่บนพื้นผิวและในอากาศ หากเชื้อโรคต่างๆได้รับปริมาณแสง UVC ในระยะเวลาที่เพียงพอ แสงยูวีจะทะลุเข้าไปใน DNA ของเชื้อโรค ทำให้ DNA เพี้ยนไปจากปรกติ เชื้อโรคไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อได้ ก็จะตายในที่สุด ซึ่งวิธีนี้จะเป็นวิธีการทำลายเชื้อโรคชนิดรุนแรง

โดยระบบ UVGI ได้มีการนำมาประยุกต์ใช้มากกว่า 100 ปีแล้ว และนิยมมากในประเทศแถบยุโรป เริ่มจากใช้ฆ่าเชื้อโรคในโรงพยาบาลทุกแห่งก่อน และในปัจจุบันมีการนำมาใช้แพร่หลายมากขึ้น นอกจากโรงพยาบาล คลินิก โรงงานต่างๆ ยังนำมาประยุกต์ใช้ในบ้านเรือน หรือแม้แต่พกพาไปในที่ต่างๆ เพื่อฆ่าเชื้อโรคในที่สาธารณะได้เลยทันที

การฆ่าเชื้อด้วยระบบ UVGI  แบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน

การฆ่าเชื้อโรคในอากาศ (Air Disinfection) : คือ การฆ่าเชื้อที่ลอยอยู่ในอากาศ ในสถานที่ที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมากหรืออยู่เป็นเวลานาน เช่น โรงพยาบาล โรงภาพยนตร์ หอประชุม สำนักงาน ห้องฟิตเนต ห้องเรียน เป็นต้น

ฆ่าเชื้อโรคในของเหลว (Liquid Disinfection) : คือ การฆ่าเชื้อโรคในของเหลว เช่น น้ำดื่มฆ่าด้วยด้วยแสงอัลตราไวโอเลต หรือในอุตสาหกรรมบำบัดน้ำเสียฆ่าเชื้อโรคในน้ำก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ เป็นต้น

ฆ่าเชื้อโรคที่พื้นผิวของวัตถุ (Surface Disinfection) : คือ การฆ่าเชื้อโรคแบบเฉพาะเจาะจง ใช้ฆ่าเชื้อบนพื้นผิวโดยใช้แสง UVC บริเวณที่โดนแสงเชื้อโรคก็จะโดนทำลาย ซึ่งปริมาณความเข้มของแสง ระยะห่าง และระยะเวลา ต้องสัมพันธ์กัน เพื่อประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อสูงสุด เช่น ฆ่าเชื้อบนราวจับรถเข็น ฆ่าเชื้อภาชนะ อุปกรณ์ในห้องครัว ฆ่าเชื้อในห้องนอน ฆ่าเชื้อบนพื้นขณะดูดฝุ่น ฆ่าเชื้อแปรงสีฟัน ฆ่าเชื้อบนสุขภัณฑ์ ฆ่าเชื้อของใช้ และของเล่นเด็กต่างๆ เป็นต้น และการฆ่าเชื้อโรคประเภทนี้นี้เอง ที่ตู้อบ UV นำมาประยุกค์ใช้งาน เพื่อความสะอาดของ ของใช้ในครอบครัว

โดยในปัจจุบัน หน่วยงานต่างๆได้รองรับในประสิทธิการกำจัดเชื้อโรคด้วยระบบ UVGI นี้ อาทิเช่น CDC (Centers for Disease Control and Prevention) ที่แนะนำให้ใช้ในโรงพยาบาล ASHRAE (American Society of Heating, Refrigerating and Air-Conditioning Engineers) เองก็แนะนำให้ใช้ในระบบปรับอากาศในอาคาร รวมทั้ง WHO (World Health Organization) ที่แนะนำให้ใช้ระบบ UVGI เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของวัณโรค (Tuberculosis)

นอกจากฆ่าเชื้อโรคแล้ว UV ยังมีประโยชน์อื่นๆอีกไหม

จุดหลักๆของการนำ UV มาใช้งานนั้นก็คือประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค แบคทีเรีย ไว้รัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนสิ่งที่เราจะได้ตามมานั้นก็คือการกำจัดกลิ่นอับต่างๆ ที่เกิดจากการสะสมของแบคทีเรีย ซึ่งแสง UV สามารถกำจัด และลดต้นเหตุของปัญหาได้

ทำไมถึงต้องเลือกใช้ UV ในการฆ่าเชื้อโรคเมื่อมีวิธีอื่นๆ

1.ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค ทั้งแบคทีเรียและไวรัส ที่กำจัดได้ถึงขั้น DNA ถือว่าเป็นวิธีการกำจัดชนิดรุนแรงที่สุด

2.ได้รับการรับรอง และถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งใน โรงพยาบาล คลินิก อุตสาหกรรมการผลิตน้ำดื่ม การปรับอากาศในสถานที่สำคัญๆ และใช้ยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรค ซึ่งทั้งหมดนี้ให้ความเชื่อมั่นในการใช้แสง UV ในการฆ่าเชื่อโรคว่ามีประสิทธิภาพสูงสุง

3.สามารถใช้ฆ่าเชื้อโรคได้มากกว่าขวดนม เพราะแสง UV ไม่มีความร้อน จึงสามารถใช้ได้กับวัสดุที่ทำมาจาก พลาสติก แก้ว ไม้ อลูมิเนียม ซิลิโคน  หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิก เรียกได้ว่า ทั้งขวดนม จุกยาง ภาชนะใส่อาหาร ของเล่น รวมไปถึงของใช้ของคุณพ่อคุณแม่สามารถใช้งานกับแสง UV ได้หมด มีความคุ้มค่าสูง

เพราะความอันตรายของเชื้อโรคนั้น ร้ายแรงกว่าที่คิด ในแต่ละวันมีโอกาสเสี่ยงต่อการปนเปื้นเชื้อโรคตลอดเวลา ทั้งจากการสัมผัส จากการไอ-จาม ทางอากาศ โดยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย ถ้าสิ่งของต่างๆของลูกไม่ได้รับการฆ่าเชื้อโรคที่ดีพอ ลูกก็อาจจะต้องเจอกับเชื้อไวรัสและแบคทีเรียจนทำให้เกิดอาการอาเจียน ท้องร่วง  อาหารเป็นพิษ หรือการติดเชื้อไวรัสต่างๆ อาการเหล่านี้เป็นอันตรายต่อลูกอย่างมาก เมื่อคุณพ่อคุณแม่รู้ถึงวิธีการกำจัดเชื้อโรคด้วยรังสี UV และใช้งานตู้อบ UV ได้อย่างถูกวิธี ก็จะช่วยคุณทำลายเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สะอาด ปลอดภัย เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัว

                              

ตู้อบแห้งฆ่าเชื้อ UV Prince&Princess Baby UV Sterilizer Gen3                              ตู้อบแห้งฆ่าเชื้อ Prince&Princess Baby UV Mini

บทความ

ขวดนมอะไรบ้างสามารถใช้กับตู้อบ UV ในการฆ่าเชื้อได้?

May 15, 2018

ขวดนมที่ผลิตจากพลาสติกทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นขวดที่ผลิตจากพลาสติกประเภท polypropylene (PP), polyethersulfone (PES), polyphenylsulfone (PPSU) ซึ่งไม่มีสาร BPA ในกระบวนการผลิต (สามารถตรวจสอบได้ที่ข้างกล่อง) สามารถใช้ตู้อบ UV ในการฆ่าเชื้อได้ และยังเป็นการชลอการเสื่อมของพลาสติกเพราะการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV เป็นการใช้แสงและความร้อนต่ำแต่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ถึง 99.99%

ขวดนมที่ผลิตจากแก้ว สามารถใช้กับตู้อบ UV ในการฆ่าเชื้อได้ทุกแบรนด์

ขวดนมที่ผลิตจากซิลิโคนที่มีขอบเกลียวเป็นพลาสติกแบบถอดแยกชิ้นส่วนได้ สามารถใช้กับตู้อบ UV ในการฆ่าเชื้อได้ เพราะไม่ใช้สารเคมีในการเชื่อมขอบเกลียวพลาสติกให้ติดกับขวดซิลิโคน

ขวดนมที่ไม่สามารถใช้กับตู้อบ UV ในการฆ่าเชื้อได้ ขวดนมที่ผลิตจากซิลิโคนที่มีขอบเกลียวเป็นพลาสติกแบบแยกชิ้นส่วนไม่ได้ ไม่สามารถใช้กับตู้อบ UV ในการฆ่าเชื้อได้ เพราะมีการเชื่อมต่อระหว่างขอบเกลียวพลาสติกและขวดซิลิโคนให้ยึดติดกันโดยใช้วัสดุ ที่ไม่สามารถระบุได้ เป็นตัวเชื่อม ซึ่งวัสดุที่ใช้เชื่อมนี้จะเสื่อมสภาพเมื่อได้รับแสง UV เป็นระยะเวลานาน

คำแนะนำสำหรับการใช้ขวดนม : ควรเปลี่ยนขวดนมหลังจากการใช้งานแล้วทุกๆ 6-12 เดือน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

บทความ

ปกป้องลูกน้อยบนท้องถนนด้วยคาร์ซีทนำเข้าจากเกาหลี!

December 14, 2017

สวัสดีค่า วันนี้มีอะไรดี ๆ มาฝากกันเช่นเคยค่ะ : ) บ้านเราเพิ่งกลับจากการพักผ่อนส่งท้ายปิดเทอมที่หัวหิน ครั้งนี้เดินทางกันสามคนพ่อแม่ลูก ระยะทางจากบ้านเราไปหัวหินใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ถ้าต้องอุ้มลูกวัย 3 ขวบไปตลอดทางก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย แถมยังน่าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยอีกด้วย เราเลยขอมารีวิวตัวช่วยดี สำหรับทุกครอบครัว นั่นคือคาร์ซีท ตัวนี้นำเข้ามาจากเกาหลีเลย เค้ามีชื่อแบรนด์น่ารัก ๆ ว่า “Prince&Princess” เราซื้อมาจากร้าน Babygift ค่ะ

(ภาพจาก http://www.babygiftretail.com)

คาร์ซีท รุ่น DUCLE จากแบรนด์ “Prince&Princess” สามารถใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดถึง 7 ขวบ จะมีความพิเศษตรงที่ ใช้วัสดุผ้าฝ้ายออร์แกนิค ที่สามารถระบายอากาศได้ดี ปลอดสารเคมี นุ่มนิ่ม สบายตัว : ) แถมยังปลอดภัยมากกว่าด้วยสายเบลท์ 5 จุดที่ปรับได้ถึง 4 สเต็ป มาพร้อมเบาะรองคาร์ซีทที่ใช้ได้ถึง 2 ด้าน และรองรับแรงกระแทกได้ดีเป็นพิเศษด้วยวัสดุพรีเมียม!

คาร์ซีทค่อนข้างใหญ่ นั่งสบาย ปรับเอนได้ถึง 4 ระดับ

บนคาร์ซีทจะมีภาพวิธีปรับ ตั้งค่าต่าง ๆ ช่วยให้ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น

สำหรับเด็กเล็กจะมีชุดซัพพอร์ตเพิ่มเติม เป็นหมอนประคองศีรษะ-ต้นคอ และ หมอนรองสะโพก ที่ช่วยประคองหลังและสะโพกได้อย่างดีค่ะ แต่ลูกเราโตแล้วเลยไม่ได้ใช้สองชิ้นนี้

ด้านข้างก็จะมีตัวกลม ๆ แบบนี้ ซึ่งจะวัดระดับองศาในการนอนที่เหมาะสม
ถ้าลูกกลม ๆ สีแดงอยู่ในช่องสีฟ้า ก็ถือว่าเป็นองศาที่พอดีค่ะ

สำหรับเด็กแรกเกิดถึง 9 โล การนั่งจะหันหน้าเข้าเบาะ ส่วนเด็กโตหน่อย สามารถหันหน้าไปหน้ารถปกติได้เลย และเด็ก 4 ขวบขึ้นไป ควรใช้เบลท์ของรถยนต์คาด ลักษณะนี้จะเรียกว่า Booster ซึ่งจะเป็นการฝึกให้เด็กเตรียมพร้อมสำหรับการนั่งเบาะรถยนต์ในอนาคตค่ะ

สำหรับการติดตั้ง และคำแนะนำต่าง ๆ พนักงานที่ร้าน Babygift ก็พร้อมบริการลูกค้าทุกคนค่ะ ประทับใจมากตรงนี้ จนต้องมาเขียนรีวิวยาว ๆ กันเลยทีเดียว ^^ ถ้าซื้อออนไลน์ พนักงานส่งสินค้าก็สามารถให้คำแนะนำได้เช่นเดียวกัน

เอาบรรยากาศวิวทะเลสวย ๆ ที่ Seen Space มาฝากกันค่ะ

อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นได้เสมอ บางครั้งเราระมัดระวังแล้วแต่คนที่ประมาทอาจไม่ใช่เราค่ะ ดังนั้นควรป้องกันไว้ก่อน ด้วย เพราะเข็มขัดนิรภัยของรถยนต์ ถูกออกแบบมาเพื่อสรีระของผู้ใหญ่ ดังนั้นแน่นอนว่าอันตรายค่ะ การใช้คาร์ซีทจึงเป็นทางเลือกในการปกป้องและลดความรุนแรงที่ดีกว่า อย่างที่ต่างประเทศนี่ มีเป็นกฎหมายบังคับใช้กันเลยนะคะ

ขอบคุณรีวิวของน้องมิลิน จาก : a day with Minimilin

บทความ

รังสี UV ฆ่าเชื้อโรคได้จริงหรือ ?

June 13, 2017

สำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ ส่วนใหญ่การทำความสะอาดขวดนม จะใช้วิธีการต้ม หรือนึ่ง โดยเป็นการฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อนสูง ซึ่งเหมาะกับพาชนะที่เป็นแก้ว หรือซิลิโคน ส่วนขวดนมแบบพลาสติกการใช้ความร้อนสูงมากๆ ทุกวันจะทำให้ขวดนมพลาสติกและจุกนมเสื่อมสภาพเร็วขึ้นกว่าปกติ และเกิดการปล่อยสารต่างๆ ออกมาจากพลาสติกนั้น เช่น สารพวกโพลีเมอร์ หรือฟอร์มัลดีไฮด์ปนเปื้อนออกมาจากพลาสติกที่เสื่อมสภาพ แถมยังทิ้งไอน้ำไว้ที่ก้นขวด ซึ่งไอน้ำนี้อาจมีเชื้อแบคทีเรียแฝงอยู่

ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้มีการคิดค้นการฆ่าเชื้อโรค โดยรังสี UV ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้กับหลากหลายผลิตภัณฑ์ เช่น ขวดนมพลาสติก ยางกัด จานชาม หรือแม้แต่อุปกรณ์อเลกทรอนิก มาทำความรู้จักกับ หลอดรังสี UV-C ที่หลายคนสงสัยว่า ฆ่าเชื้อโรคได้จริงไหม?

รังสี UV คืออะไร

แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ประกอบด้วยรังสี 2 ส่วนคือ รังสีที่มองเห็นได้และมองไม่เห็นรังสีที่มองเห็นได้ จะมี 7 สี แต่จะสามารถเห็นต่อเมื่ออากาศมีความชื้นสูง รังสีจากดวงอาทิตย์ตกกระทบกับน้ำในอากาศ เราจะสามารถมองเห็นสีทั้ง 7 ได้ ที่เรียกว่า “รุ้งกินน้ำ” นั่นเอง รังสีที่มองไม่เห็น คือพลังงานในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจากดวง อาทิตย์ มี 2 ส่วนคือ

  1. รังสี UV หรือ Ultra Violet (อัลตราไวโอเลต) ทำให้เกิดการเผาไหม้
  2. รังสี Infrared (อินฟาเรด ) ทำให้เกิดความร้อน

ระดับควมเข้มของรังสี UV แบ่งตามความเข้มข้นได้ 3 ระดับคือ

  • รังสี UV-A ระดับความเข้มข้นต่ำสุด ถูกดูดซึมไปในชั้นบรรยากาศเล็กน้อย
  • รังสี UV-B ระดับความเข้มข้นปานกลาง ถูกดูดซึมไปบางส่วน
  • รังสี UV-C ระดับความเข้มข้นสูงสุด ถูกดูดซึมไปในชั้นบรรยากาศเกือบหมด ไม่ค่อยหลงเหลือลงมาสู่พื้นโลก

รังสี UV สามารถฆ่าเชื้อได้อย่างไร

  • เนื่องจากรังสี UV-C เป็นรังสีที่เป็นอันตรายเพราะมีความสามารถในการเผาไหม้สูง นักวิทยาศาสตร์จึงนำมาประยุกต์ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคที่เป็นอันตราย
  • หลอดสังเคราะห์รังสี UV-C คือ หลอดไฟชนิดพิเศษที่สังเคราะห์รังสี UV-C เลียนแบบธรรมชาติเพื่อสำหรับการฆ่าเชื้อโรค มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Germicidal Lamp (เจิมมิไซโดล แลมป์) หรือเรียกสั้นๆ ว่าหลอด UV

การนำรังสี UV มาประยุกต์ใช้งานภาคอุตสาหกรรม

  1. สถานที่สาธารณะ ที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมากหรืออยู่เป็นเวลานาน เช่นห้องเรียน, ค่ายทหาร, โรงภาพยนตร์, หอประชุม, ห้องรับรอง, สำนักงาน ให้ติดตั้งหลอดUVGI ในท่อฆ่าเชื้อโรคในอากาศ, ท่อปรับสภาพอากาศ
  2. โรงพยาบาล ตึกคนไข้, ห้องตรวจ, ครัว, ที่เก็บเครื่องมือผ่าตัดและอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ อาหารและเครื่องดื่ม ทั้งขั้นตอน ขณะผลิต, บรรจุหีบห่อ, จัดเก็บ
  3. อุตสาหกรรมการผลิตเวชภัณฑ์ รวมถึง สารปฏิชีวนะ ยา และเครื่องสำอาง
  4. การป้องกันสัตว์ป่วย ใช้กับเรือนปศุสัตว์, คอก, ฟาร์ม, เล้า, กรงขัง รวมไปถึงสวนสัตว์ได้
  5. ห้องทดลอง และเครื่องมือทดลองต่างๆ
  6. โรงงานผลิตน้ำดื่มบรรจุขวด Water

ประโยชน์จากการใช้รังสี UVในชีวิตประจำวัน มีอะไรบ้าง

» การใช้รังสี UV ฆ่าเชื้อในน้ำดื่ม

» การใช้รังสี UV ฆ่าเชื้อในอากาศ

» การใช้ในตู้ปลาเพื่อฆ่าเชื้อป้องกันตะไคร่

» การใช้รังสีเพื่อความงาม

» การใช้รังสี UV เพื่อดักจับแมลง

» การใช้รังสี UV ในเครื่องตรวจธนบัตร

ปัจจุบันได้มีการพัฒนามาเป็น Baby UV Sterilizer ตู้อบแห้งฆ่าเชื้อด้วยแสงยูวี ที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดนึง ที่ทุกบ้านต้องมี โดยเฉพาะบ้านที่มีลูกเล็กๆ หรือผู้ป่วย ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ที่ต้องดูแลเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ

เพราะเชื้อโรคมีขนาดเล็กและซ่อนอยู่ในสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเรา  คุณพ่อคุณแม่อย่างเราจึงต้องจัดการกับเชื้อโรค ที่อาจจะมาปนเปื้อนอยู่ในสิ่งของเครื่องใช้ของเรา โดยเฉพาะกับของใช้ของลูกน้อยที่ยังไม่มีภูมิต้านทาน ซึ่งมีโอกาศป่วยจากการสัมผัสสิ่งปนเปื้อนได้ง่าย

Prince & Princess จึงผลิต Baby UV Sterilizer ตู้อบแห้งฆ่าเชื้อโรคด้วยรังสี UV ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ในการดูแลลูกน้อยอย่างเหนือกว่า ผลิตและรับรองคุณภาพพร้อมผ่านการทดสอบในห้องวิจัยถึงประสิทธิภาพการทำงานในการฆ่าเชื้อในประเทศเกาหลี

**ผลวิจัยโดยสถาบัน Korea Testing & Research Institute**

ฆ่าเชื้อโรคอะไรได้บ้าง

  • Escherichia coli หรือ E. coli(อิโคไล) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ทำให้ถ่ายอุจจาระเหลว หรือเป็นน้ำ
  • Staphylococcus aureus เป็น แบคทีเรียที่ก่อโรคอาหารเป็นพิษ หลังจากรับประทานอาหาร ที่มีแบคทีเรีย ปนเปื้อนเข้าไปประมาณ 1-6 ชั่วโมง อาการของโรคคือ คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วง ปวดศีรษะ มีการเปลี่ยนแปลงความดันโลหิตเป็นระยะๆ อาการมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ในบางรายรุนแรงอาจช็อคได้
  • Salmonella Typhimurium แบคทีเรียชนิดนี้หากพบในอาหารเพียงเล็กน้อยก้ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้ เช่น ไข่ดิบ นมดิบ เนย ไอศกรีม เนยแข็ง และผักบางชนิด อาการจะเกิดขึ้นหลังบริโภค 6-48 ชั่วโมง อาการทั่วไป ชีพจรเต้นช้ากว่าปกติ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดศีรษะ ปวดท้อง มีไข้ หนาวสั่นและอ่อนเพลีย ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตด้วยโรคนี้เนื่องจากเลือดออกในลำไส้เล็ก และลำไส้ทะลุ

Pseudomonas aeruginosa เชื้อโรคชนิดนี้จะมีการติดเชื้อกับผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำมีอาการภูมิแพ้ หรือป่วยมากๆ ก่อให้เกิดโรคปอดบวม และสามารถติดเชื้อได้ในหลายส่วนของร่างกาย คนสุขภาพดีก็สามารถติดเชื้อได้ จากการอาบน้ำหรือเล่นน้ำ ในสระว่ายน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ ซึ่งโรคติดเชื้อ ที่ผิวหนังนี้มักจะเกิดการสับสนกับโรคอีสุกอีใส และจะเกิดอาการรุนแรงได้กับผู้ที่มีเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วย

 

 

ใช้ฆ่าเชื้อได้กับหลากหลายผลิตภัณฑ์

  • สามารใช้ฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนของเล่นและของใช้อื่นๆได้
  • สามารใช้ฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น โทรศัพท์มือถือ รีโมทคอนโทรล ที่เด็กๆ มักชอบเล่นและอาจนำเข้าปาก

 

 

 

 

4 ขั้นตอนง่ายๆ เพื่อสุขอนามัยที่ดี กับ Baby UV Sterilizer

  1. ล้างภาชนะให้สะอาด ล้างทำความสะอาดขวดนม และผลิตภัณฑ์สำหรับลูกน้อย ด้วยน้ำยาทำความสะอาดออแกร์นิค และล้างด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด
  2. นำภาชนะวางเรียงแบบหงาย ควรสะบัดน้ำออกและวางเรียงแบบหงายขึ้น เพื่อให้การอบแห้งทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรสะบัด 4-5 ครั้ง เพื่อให้ละอองน้ำเหลือน้อยที่สุด
  3. กดปุ่ม Auto 1 ครั้ง รอเวลา 30 นาที ระบบ Auto เหมาะสำหรับฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนในขวดนมเด็กอ่อน รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่สามารถล้างทำความสะอาดได้ ด้วยการทำงานอย่างเป็นระบบ ตู้อบฆ่าเชื้อระบบแสง UV สามารถฆ่าเชื้อและจัดเก็บขวดนมและของใช้เด็กอ่อนอื่นๆ ไว้ในตู้ให้แห้งพร้อมใช้โดยปราศจากความชื้นที่อาจก่อให้เกิดเชื้อราได้ ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ สามารถทำความสะอาดขวดนมได้มากถึง 16 ขวดในเวลาเดียวกัน

(ใช้เวลา 30 นาที อบแห้ง 20 นาที ฆ่าเชื้อด้วย UV 5 นาที (ระบายอากาศไปพร้อมๆกับการอบแห้งและฆ่าเชื้อ 30 นาที)

  1. นำภาชนะออกมาใช้งานได้เลย เมื่อทำการฆ่าเชื้อโรคด้วยUV จนจบกระบวนการ 30 นาที สามารถนำภาชนะออกมาใช้งานได้ทันที หรือหากยังไม่ได้ใช้งาน ก็สามารถเก็บภาชนะนั้นไว้ในตู้อบแห้งฆ่า Baby UV Sterilizer ได้ เมื่อต้องการนำออกมาใช้ ก็ไม่ต้องทำการฆ่าเชื้อซ้ำให้เสียเวลา

นวัตกรรมใหม่สำหรับการดูแลลูกน้อยให้พ้นจากเชื้อโรคมาตราฐานความสะอาดที่เหนือกว่า จากประเทศเกาหลีตู้อบแห้งฆ่าเชื้อ UV Prince & Princess Baby UV Sterilizer Gen 3

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อผลิตภัณฑ์

  • Central / The mall / Emporium / Paragon ทุกสาขา
  • Baby gift ทั้ง 9 สาขา และ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

หรือสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ได้ที่

บทความ

พาลูกเที่ยวปลอดภัยกับคาร์ซีท DUCLE Organic

June 6, 2017

รีวิวคุณแม่พาลูกเที่ยวปลอดภัยกับคาร์ซีท DUCLE Organic

ก่อนอื่นขอระบายอารมณ์ อารัมภบทสักนี๊สสสนะคะ มีลูกเล็กจะไปไหนมาไหน ก็แสนจะลำบาก ตั้งแต่เริ่มการเตรียมเสื้อผ้า ของใช้ ของเล่นที่นางชื่นชอบ หมอนเน่า ผ้าห่มเน่า ยาทากันยุง(ต้องแบบออร์แกนิค เท่านั้น เพราะผิวเด็กบอบบางมากจร้า) ขึ้นรถแล้วก็ใช่ว่าจะสบาย อุ้มสิจ๊ะ ตลอดทางใกล้ไกล คุณแม่เป็นไงหล่ะก็เป็นเหน็บชากันไป อีกอย่างแม่คาดเบลล์ไม่ได้เพราะอุ้มลูก หากเกิดการเบรกกะทันหันก็หัวทิ่มหัวตำ เจ็บตัวทั้งแม่ทั้งลูก นี้เบรคเบาๆนะ ถ้าอุบัติเหตุรุนแรง โอ้ยย ไม่อยากจะคิดเลย ต้องรีบหาตัวช่วยด่วนๆๆ เลยคะ…!!!

และแล้วก็เป็นความโชคดีของครอบครัวเราที่ได้ตัวช่วยดี้ดี คาร์ซีทรุ่นใหม่ล่าสุด!!!! แบรนด์Prince&Princess จากประเทศเกาหลี เพื่อเตรียมการเดินทางช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ วันนี้ก็เลยถือโอกาสมารีวิวคาร์ซีทรุ่น DUCLE Organic กันอย่างละเอียดเลยจร้า…^^

คุณแม่ชอบสีคาร์ซีท สีน้ำเงินคล้ายๆผ้ายีนส์ดูเท่ส์ดี เหมาะกับลูกชาย และชอบที่สุดก็คือเนื้อผ้าฝ้ายเป็นออร์แกนิค ซึ่งเท่าที่รู้ไม่มียี่ห้ออื่นทำ ออร์แกนิคดีเพราะปลอดสารเคมี นุ่มสบาย เหมาะสำหรับเด็กทารกที่มีผิวบอบบาง แล้วก็แพ้ง่าย ที่เบาะมีปักคำว่า Organic ด้วย เป็นคาร์ซีทที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โอ่ววเลิศคร้า!!!

ที่เลือกคาร์ซีท DUCLE ก็ไม่ใช่แค่ออร์แกนิคนะ เพื่อความปลอดภัยก็ต้องมั่นใจกับมาตรฐานความปลอดภัยด้วย รุ่นนี้มีมาตรฐานสากล ECE ด้วยนะ มั่นใจได้กับความปลอดภัย

  

คาร์ซีท DUCLE ใช้สุดคุ้มยาวๆไป ลูกนั่งได้ถึง 7 ขวบ สบายเลยไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ เซฟเงินในกระเป๋าคุณแม่ไปได้เยอะเลย และก็ยังมีคุณสมบัติอีกเพียบ อยากรู้แล้วช่ายยยป่ะ ว่ามันจะมีอะไรพิเศษอีก มาดูกันคร้าาา

เป็นคาร์ซีท 3 Step ใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิด อยากจะปรับเปลี่ยนก็ง่ายๆ ลูกเริ่มโตตัวใหญ่ขึ้น ก็ค่อยๆขยับขยายเอา ปรับได้ไม่ยากค่ะ

Step เด็กแรกเกิด ก็ต้องติดตั้งแบบหันหน้าเข้าเบาะเท่านั้น ก็ตามมาตรฐานสากลนั้นแหละ ที่เคยรู้ๆ มาว่าคอและศีรษะเด็กยังไม่แข็งแรง ถ้านั่งแบบหันหน้าออก เบรกแรงหน่อยก็คอพับแล้ว เป็นอันตรายสุดๆ เค้าถึงให้หันหน้าเข้าเบาะแทน และก็ปรับเอนนอนไปเลย เด็กเล็กต้องนอนทั้งวันเพื่อพัฒนาการที่ดีด้วย ถ้าที่ตัวคาร์ซีทก็เบอร์ 4 เลย

ด้านข้างก็จะมีไอ้ตัวกลมๆนี้ด้วย มันก็คือที่วัดระดับองศาการนอนนั้นเอง ให้ลูกกลมๆสีแดงอยู่ในสีฟ้า ถือว่าองศาที่พอดีค่ะ

  

เด็กแรกเกิดก็ต้องดูแลเยอะหน่อย ชุดSupport 2 ชิ้นนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ หมอนชิ้นบนไว้ประคองศีรษะต้นคอ หมอนชิ้นล่างไว้ประคองช่วงสะโพก เด็กเล็กๆถ้าได้นอนกับชุด Support ก็จะกระชับรองรับได้พอดีตัวเลยค่ะ

หมอนชิ้นบนที่ช่วยประคองศีรษะต้นคอ ก็ปรับด้านข้างเข้าได้ด้วย สำหรับเด็กตัวค่อนข้างเล็ก เวลานอนจะได้ไม่โยกไปโยกมา ปรับให้พอดีจะได้ไม่เป็นอันตรายนะคะ

หมอนรองสะโพก ช่วยโอบประคองหลังและสะโพกได้อย่างดี มีความกว้างที่ช่วยประคองได้ทั้งตัว เหมือนโอบกอดด้วยไออุ่นจากแม่เลย ว้าววว!!! ลูกน้อยแล้วคงฟินน่าดูเนอะ…^^

มีเบลล์ที่ตัวคาร์ซีทด้วย ถ้าเรียกอย่างเป็นทางการ เรียกว่าเข็มขัดนิรภัย 5 จุด ต้องล็อคทุกครั้งที่ให้ลูกนั่งคาร์วีทนะจ๊ะ ให้ลูกนั่งคาร์ซีทแต่ไม่ล็อคเบลล์ให้ครบทั้ง 5 จุด ลูกกระเด็นออกมา บาดเจ็บถึงขั้นเสียชีวิตได้เหมือนกัน


ล็อคเบลล์แล้วไม่พอดีก็แค่กดปุ่มแดง อยู่ตรงกลางระหว่างขาของลูกนั้นแหละค่ะ กดค้างไว้แล้วก็เอามืออีกข้างค่อยๆคลายสายให้หลวมๆไปก่อน พอเอาลูกนั่งเอาสายเบลล์คาดจากไหลาลงมาแล้วก็ล็อค คือล็อคแบบ 5 จุด ถ้าหลวมไปก็ดึงสายตรงที่มันอยู่กะปุ่มแดง เอาแบบตึงพอดีๆนะ ตึงไปเดี๋ยวลูกอึดอัด แล้วก็จะงอแงอีก พอลูกร้องก็ใจอ่อนอุ้มนั่งตัก ก็นั่งกันไม่เป็นกันพอดี ไม่ปลอดภัยนะ

Step ต่อมาก็เริ่มประมาณ 1 ขวบขึ้นไป เด็กเริ่มโตแล้วก็เอาชุด Support ออกได้เลย กว้างขึ้นเยอะเลย

ติดตั้งแบบหันหน้าออกไปทางหน้ารถได้แล้ว และก็ปรับเอนได้ถึง 3 ระดับเลย เด็กเริ่มโตแล้วจะไม่ค่อยอยากนอก คุณแม่ก็ปรับให้เบาะตั้งขึ้นเพื่อให้น้องมองออกไปนอกหน้าต่างได้อย่างพอดีค่ะ ใช้ระดับที่ตัวเลข 1 2 หรือ 3 ก็ได้

ถอดชุด Support ออกแล้ว จะเห็นเบาะรองนอนอีกชั้นเป็นสีขาวๆครีมๆ พิเศษตรงที่มันใช้ได้ 2 ด้าน 2 ฤดู ถ้าด้านที่มีรูระบายอากาศ ก็ใช้เวลาที่อากาศร้อน แต่ถ้าอากาศเย็น ก็เปลี่ยนด้านใช้ด้านที่เป็นผ้าคอตตอนเนื้อหนานุ่มทำให้อบอุ่นขึ้นด้วย มันเยี่ยมที่สุดเลย !!!

เห็นช่องๆที่อยู่ด้านหลังเบาะกันไหม เป็นช่องสำหรับปรับสายเบลให้เลื่อนขึ้นไปเพื่อให้เหมาะกับลูกที่ช่วงตัวเริ่มสูงขึ้น วิธีปรับก็แสนจะง่าย เปิดช่องที่ด้านหลัง ถอดสายออกแล้วก็สอดสายขึ้นไปอีกช่องได้เลยค่ะ

  

Stepที่ 3 ถอดสายเบลล์และแผ่นเบาะรองนอนสีขาวออกได้เลยค่ะ Stepนี้ เหมาะกับเด็ก 4 ปีขึ้นไป และควรปรับที่นั่งคาร์ซีทให้อยู่ในระดับตั้งสุด เบอร์1 เพราะเด็กในช่วงนี้จะอยู่ในช่วงต้องการการเรียนรู้ สนใจสิ่งรอบข้าง จึงต้องปรับให้อยู่ในระดับที่ผ่อนคลายและสามารถมองทิวทัศน์ภายในนอกได้อย่างพอดี

ถ้าลูกเริ่มโตถึง 4 ขวบแล้ว ตัวโตแล้วก็ใช้เบลล์ที่ตัวรถได้เลยค่ะ

วัสดุมีความนุ่ม สังเกตจากนิ้วสิคะ รู้สึกถึงความยืดหยุ่นได้ดี นี้ก็คงเป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้ลดการบาดเจ็บ เมื่อเกิดอุบัติเหตุได้

พนักพิงที่ด้านข้างก็มีขนาดใหญ่ก็ช่วยรองรับแรงกระแทกได้ดีเช่นกัน

พนักพิงสูง 57 cm. / พนักพิงกว้าง 40 cm. / ช่วงเบาะนั่งกว้าง 30 cm.
คุณแม่อยากให้คนอ่านรู้ว่ามันกว้าง นั่งสบายจริงๆนะคะ เลยวัดส่วนสูง ความกว้างมาให้ดูตามนี้เลยค่ะ


สรุปแล้วที่เลือกคาร์ซีท DUCLE เพราะเป็นผ้าฝ้ายออร์แกนิค ปลอดสารเคมี ปลอดภัยด้วยการรองรับแรงกระแทกได้ดีจากวัสดุนุ่มพิเศษ และมีสายเบลล์ 5 จุดที่ตัวคาร์ซีท และก็เพิ่มความสบายด้วยเบาะรองคาร์ซีทที่ใช้ได้ 2 ด้าน ปรับการใช้ได้ร้อนและเย็น

***หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาคาร์ซีทดีๆสักตัว เพื่อลูกน้อยที่คุณรัก และอย่าลืมติดตามรีวิวต่อๆไปด้วยนะคะ

ดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม : Ducel Organic

บทความ

PRINCE&PRINCESS THE SECRET OF JET SET BABY

March 16, 2017

บริษัท เบบี้ กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เด็ก ปริ้นซ์ แอนด์ ปริ้นเซส แบรนด์ที่ได้รับการสรรค์สร้าง นวัตรกรรมการปกป้องดูแลเด็กทารกผลิตจากโรงงานที่มีการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยยุโรปเพื่อลูกน้อยที่เป็นเสมือนเจ้าชายและเจ้าหญิงองค์น้อยของพ่อแม่ จะมีการเปิดตัวแบนด์ในงาน“PRINCE&PRINCESS, THE SECRET OF JET SET BABY” ณ ลานโปรโมชั่น แผนก KID’S PLANET ชั้น 3 ศูนย์การค้าสยามพารากอน  ในวันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2558 ตั้งแต่เวลา 13.30-15.00 น.

ภายในงาน เปิดตัวโดย คุณอรุณศรี พิริยเลิศศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบบี้ กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) จำกัด พร้อมด้วย พ.ญ. อรพร ดำรงวงศ์ศิริ อาจารย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ที่จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลลูกน้อยในยุคปัจจุบัน  โดยในงานได้รับเกียรติจากเซเลบริตี้  ได้แก่ พลอย-พลอยพรรณ ทวีรัตน์ ไดเรนดัล และลูกชาย น้องแพนเตอร์ , เปิ้ล-ภารดี & นิว-เชื้อชาตินที วงษ์สวัสดิ์ปภา ,เอิร์น-จิรวรรณ เตชะหรูวิจิตร และลูกชายน้องดี ที่มาร่วมเดินแฟชั่นโชว์พร้อมแชร์ประสบการณ์ความประทับใจต่อนวัตกรรมเพื่อลูก และเซเลบริตี้คุณแม่คนดัง อาทิ ทาทา ยัง & ฉัตรอดุลย์ สีนะพงษ์พิพิธ,นิหน่า-สุฐิตา& แบงค์-พชร ปัญญายงค์, อุษณา มหากิจศิริ & กมลสุทธิ์ ทัพพะรังสี ที่มาร่วมงาน